บทความที่ได้รับความนิยม

วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2558

วัดนางชี..กับเรื่องราวแห่งประวัติศาสตร์กว่า 100 ปี


วัดนางชี ที่ชาวบ้านชอบเรียกขานโดยทั่วกันนั้นมีชื่อพระราชทานว่า วัดนางชีโชติการาม สร้างขึ้นในสมัยอยุธยาตอนกลาง เมื่อ พ.ศ. 2078 ตรงกับรัชสมัยพระชัยราชาธิราช สร้างแล้วเสร็จประมาณ พ.ศ. 2081-2082  เป็นวัดริมน้ำสงบร่มรื่นขณะนี้พระอุโบสถกำลังบูรณะอยู่ยังไม่แล้วเสร็จ  และภายในวัดก็ชำรุดทรุดโทรไปตามกาลเวลา

การเดินทางไม่ยากค่ะ นั่รถประจำทาง สาย 4หรือสาย 9 มาลงป้ายที่ลงจากสะพานวัดนางชีแล้วเดินเข้าได้ 2 ทาง คือ 1 .จากซอยวัดนางชีเองเป็นซอยเล็กๆรถสวนกันลำบาก หรือ2. เดินทะลุมาจากวัดนาคปรกจะสะดวกกว่า

ตามประวัติความเป็นมาของวัดสืบเนื่องมาจากลูกสาว เจ้าพระยาพิชิตชัยมนตรีชื่อแม่อิ่ม ป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุจนกระทั่ง มีชีปะขาวมานิมิตเข้าฝันด้วยการให้ลูกสาวทำการบวชชี เจ้าพระยาพิชิตชัยมนตรีจึงได้ให้แม่อิ่มลูกสาวท่านบวชชีพร้อมสร้างวัด ซึ่งประกอบด้วยโบสถ์ วิหาร เจดีย์ พระปรางค์และศาลาการเปรียญ ครบครันขึ้นเป็นวัดอย่างสมบูรณ์แต่ปัจจุบันไม่มีซากหลงเหลืออยู่จะมี ก็แต่องค์พระประธานในพระอุโบสถและพระพุทธรูปปางต่างๆ ในโบสถ์ เจดีย์คู่วัด และพระปรางค์ คณะผู้สร้างวัดนางชีประกอบด้วยผู้ร่วมทำ การสร้าง 3 ท่าน คือ เจ้าพระยาพิชิตชัยมนตรี พระยาฤาชัยณรงค์ และออกหลวงเสนาสมุทร และวัดนี้ก็มีความเจริญรุ่งเรืองเสนอมาจนกระทั่ง สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ในสมัยของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระบรมโกศ วัดนี้ได้กลายเป็นวัดร้าง เมื่อถึงสมัยรัตนโกสินทร์ตอนปลายรัชกาลที่ 1 สมเด็จพระรูปสิริโสภาคย์มหานาคนารีเป็นพระสัสสุใน พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงปฏิขรณ์จึงให้ชื่อว่า วัดนางชี เพื่อเป็นการอนุสรณ์ในการบวชชีของพระองค์

ท่านพระยาโชฎึกราชเศรษฐีได้มีจิตศรัทธาร่วมพระองค์ ท่านพระยาโชฎึกราชเศรษฐีได้มีจิตศรัทธาร่วมบูรณะปฎิสังขรณ์ด้วยโดย ทำเป็นศิลปะแบบจีนประดับประดาด้วยเครื่องเคลือบประดับมุก ลับแล หรือฉากบังเตียงแกะฉลุลายไทย ฝีมือจีน ฯลฯ ถวายให้เป็นสมบัติของวัดนางชี  ต่อมาในสมัยสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระยาราชานุชิตได้บูรณะ วัดซึ่งกำลังทรุดโทรมขึ้มมาใหม่ทั้งวัด อาราม เช่นพระอุโบสถ พระวิหาร ศาลาการเปรียญ เสนาสนะต่างๆ ให้รื้อของเก่าแล้วสร้างใหม่โดยเฉพาะ หลังคา พระอุโบสถสร้างตามแบบที่นิยมกันตามแบบ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าอยู่หัว คือไม่มีช่อฟ้าใบระกา และหางหงส์

 สิ่งสำคัญภายในวัดนางชี ในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ทรงทำการค้ากับจีน ทรงสั่งทำเครื่องเคลือบรูปเรือสำเภา อันเป็นเครื่องหมายการค้าให้อนุชนได้ศึกษา โดยทรงได้พระราชทาน วัดนางชี 1 คู่ พระประดับหน้าบันพระวิหารที่สร้างตามศิลปะแบบจีน นอกจากนี้ได้พระราชทานเสาหินเทียบเรือพระที่นั่งซึ่งทรงสั่งมาจาก ประเทศจีนให้แก่วัดนางชี บัดนี้ทางวัดได้นำมาขึ้นเสาป้ายหน้าวัด ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ซึ่งปรากฎในจดหมายเหตุพระราชกิจรายวันว่าเมื่อ พ.ศ.2422 พระปิยมหาราชเจ้า ได้เสด็จพระราชดำเนินโดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค มาวัดนางชีเพื่อพระราชทานพระกฐิน

วัดนางชีเป็นวัดที่คนมาทำบุญน้อยทั้งที่เป็นวันที่สร้างมานานและเป็นวัดเดียวที่ยังมี ประเพณี"ชักพระวัดนางชี" ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น "งานแห่พระบรมสารีริกธาตุวัดนางชี" ซึ่งพุทธศาสนิกชนชาวฝั่งธนบุรี ได้ถือปฏิบัติสืบเนื่องกันมาในวันแรม ๒ ค่ำ เดือน ๑๒ ของทุกปี ตั้งแต่สมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ จนถึงปัจจุบันเป็นเวลานานกว่าร้อยปีแล้วล่ะค่ะ

วันอาทิตย์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2558

Sanam Chadra Place

สถานที่ๆจะแนะนำในการไปเที่ยววันนี้เป็นสถานที่ใกล้กรุงเทพฯค่ะ  จ.นครปฐม ใกล้ๆจริงๆด้วยห่างจากกรุงเทพฯ 56 ก.ม เท่านั้นเอง จุดหมายปลายทาง คือ พระราชวังสนามจันทร์(Sanam Chadra Place) ค่ะ  ตัวผู้เขียนเองเคยมาที่เมื่อ 15 ปีก่อน เลยอยากมารำลึกว่าเวลาที่เปลี่ยนไปพระราชวังสนามจันทร์จะยังสวยอยู่มั๊ย

การเดินทางไม่ยากค่ะ นั่งรถตู้จากอนุสาวรีย์ จุดใต้ทางด่วน  ท่ารถที่เขียนว่า ม.ศิลปากร  ค่ารถ 60 บาทเท่านั้น เมื่อรถตู้มาถึงจุดหมายคือ ม.ศิลปากรก็ข้ามถนนและเดินเลียบมหาวิทยาลัยทางขวามือมาถึงสี่แยกแล้วเลี้ยวซ้านเดินตรงไป 800 เมตร ก็จะถึงประตูพระราชวังสนามจันทร์ ที่ด้านหน้ามีจุดซื้อตั๋ว 30 บาท หากแต่งตัวไม่ถูกระเบียบ เช่นกางเกงแฟชั่นยีนต์ขาดเป็นริ้ว ๆ ขาสั้น กระโปรงเลยเข่า เสื้อแขนกุด  เสื้อบาง ต้องซื้อผ้าซื่น 1 ผืนค่ะ ราคา 70 บาท(ขายขาดเอากลับบ้านได้)หากใครต้องการเช่ารถเพราะไม่อยากเดินหรือเดินไม่ไหว มีรถให้เช่า 300 บาทต่อคันค่ะ

เมื่อผ่านประตูเข้ามาด้านขวามือจะมี บ้านเรือนไทย ชื่อว่า พระตำหนักทับขวัญ(Thap Khwan Residence)   สามารถขึ้นชมบนเรือนไทยได้ค่ะมีเจ้าหน้าที่ของสำนักพระราชวังให้ข้อมูลแต่ต้องถอดรองเท้าและห้ามถ่ายภาพค่ะ ว่า พระตำหนักทับขวัญ  เป็นพระตำหนักเรือนไม้ที่ รัชกาลที่ 6 โปรดเกล้าให้สร้างขึ้นเพื่อรักษาศิลปะเรือนไทยแบบโบราณเอาไว้ ค่ะและที่สำคัญอีกอย่างนึงสำหรับลูกเสือไทย ที่นี่เป็นที่ตั้งกองบัญชาการเสือป่าด้วยนะคะ


ถัดจากว่า พระตำหนักทับขวัญ เ ราก็จะพบกับมารีราชรัตบัลลังก์ เป็นพระตำหนัก 2 ชั้นสร้างด้วยไม้สักทองค่ะ เป็นสถาปัตยกรรมแบบนีโอคลาสสิก(neo-classic) แต่ปรับปรุงบางส่วนให้เข้ากับสภาพอากาศเมืองร้อน พระตำหนักนี้มีสะพานเชื่อมข้ามคูน้ำไปยังพระตำหนักชาลีมงคลอาสน์ค่ะต้องถอดรองเท้าแล้วนำไปด้วยเดินข้ามสะพานไปค่ะ



พระตำหนักชาลีมงคลอาสน์ เดิมชื่อ พระตำหนักเหล ค่ะ ด้านหน้าพระตำหนักมีอนุสาวรีย์ย่าเหลอยู่ค่ะ รูปทรงพระตำหนักเป็นแบบผสมอังกฤษและฝรั่งเศสแต่ดัดแปลงให้เหมาะกับสภาพภูมิอากาศ แดดร้อน ฝนตก น้ำท่วม แบบบ้านเราน่ะค่ะ...พระตำหนักจึงออกแบบมาอย่างที่เห็น ที่นี่นอกจากเป็นที่พำนักในปลายรัชสมัย ร.6 แล้วยังเคยเป็นสำนักงานชั่วคราวในการออก หนังสือพิมพ์ดุสิตสมิตรายสัปดาห์ ด้วยนะคะ สำหรับอนุสาวรีย์ย่าเหลด้านหน้าพระตำหนักมีเรื่องเล่าอยู่ว่า ย่าเหลนี่เป็นสุนัขพันธ์ทางนะคะเกิดในเรือนจำนครปฐม เป็นสุนัขของผู้ควบคุมนักโทษในสมัยนั้นคือ หลวงชัยอาญา ได้ถวายให้ ร.6 เมื่อครั้งเสด็จตรวจเรือนจำ..ย่าเหลเป็นสุนัขทรงโปรดค่ะเพราะความภักดีและฉลาดมาก แต่ถูกยิงตายด้วยปืนลูกกรดเมื่อตอนลอบหนีออกจากวังไปเที่ยว ในขณะที่ ร.6 ไปถวายพานพุ่มณ.วัดเบญจมบพิตรและวัดพระเชตุพน คาดว่าย่าเหลน่าจะไปหา ร.6 นี่แหล่ะค่ะ เพราะพบศพตายระหว่างถนนข้างวัดพระเชตุพนกับพระบรมมหาราชวัง...น่าสงสารจัง ทำไมต้องยิงกันด้วยนะ

เดินต่อมาอีกสักหน่อยจะพบกับที่เห็นอยู่นี่คืออนุสาวรีย์ ร.6 ค่ะ บริเวณโดยรอบปลูกต้นจันทร์ซึ่งกำลังออกลูกเยอะแยะเลยนะคะ...ร.6 พระองค์ทรงมีความคิดที่นำสมัยและต้องการพัฒนาชาติไทย ปุ้ยอัญเชิญพระดำริส่วนนึงของพระองค์มาให้เพื่อนได้อ่านกันนะคะ
" ในชั้นต้นกิจการต่าง ๆ คงต้องดำเนินการอย่างช้า เพราะมีเครื่องกีดขวางอยู่หลายอย่างที่ฉันต้องข้าม เราอยู่ในสมัยที่ลำบาก เพราะเรามีขนบธรรมเนียมโบราณคอยต่อสู้ขัดขวางการเปลี่ยนแปลง แต่ฉันไม่คิดจะยอมแพ้ ฉันยังหวังจะมีชีวิตนานพอ ที่จะทำให้สำเร็จ "

ถัดมาคือพระที่นั่งพิมานปฐม ร6.โปรดเกล้าให้สร้างขึ้นเมื่อดำรงพระอิสริยยศเป็นพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร ปัจจุบันได้จัดแสดงนิทรรศการถาวรเฉลิมพระเกียรติ ร6.และเจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา ที่นี่ชั้น 2 จะมีห้องพระรูป 8 เหลี่ยมที่ถือเป็น UNSEEN ของจ. นครปฐมค่ะ เพราะห้องพระแห่งนี้สามารถมองเห็นองค์พระปฐมเจดีย์และเทวาลัยคเณศร์ อยู่ในแนวเส้นตรงเดียวกันเลยล่ะค่ะ(ห้ามถ่ายภาพค่ะ)



สุดท้ายหลังจากเดินมานานนั่งพักเย็นๆสบายๆๆจากการเดินชมวัง..ริมน้ำอากาศเย็นสดชื่นมีตะกวดว่ายน้ำสนุกสนาน....ถ่ายรูปมาฝากเพื่อนๆๆคลายร้อนกันบ้างมั๊ยคะ...เอาล่ะหายเหนื่อยแล้วล่ะค่ะเย็นแล้วกลับกรุงเทพฯดีกว่า...มีความสุขกันทุกคนพร้อมหน้าพร้อมตาคนในครอบครัวกับมื้อเย็นอร่อย ๆ นะคะ..ส่งเพื่อนฝันดี ราตรีสวัสดิ์/Good Night ค่ะ


พระราชวังสนามจันทร์ เปิดทำการทุกวัน 9.00-16.00 น.ปิดขายบัตร 15.30 น.หยุดวันนักขัตฤกษ์(ยกเว้น 12 สิหาคมและ 4 ธันวาคม)และ 25/11(วันสมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า ของทุกปี)

วันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2558

เที่ยว..กินลมชมวิวที่วัดอรุณ


ในฐานะลูกหลานฝั่งธน วัดอรุณเป็นอีกที่หนึ่งที่ต้องไปเยี่ยมชมค่ะ ชื่อเต็ม ๆ คือ วัดอรุณราชวราราม เป็นวัดโบราณสร้างมาตั้งแต่สมัยอยุธยา เดิมเรียกว่า "วัดมะกอก" ตามชื่อ ตำบลบางมะกอก ค่ะแล้วก็เปลี่ยนชื่ออีกเป็น”วัดมะกอกนอก”จนกระทั่งในสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินก็ได้เปลี่ยนชื่ออีกครั้งว่า “วัดแจ้ง” ที่เรียกว่าวัดแจ้งเนี่ยก็เพราะว่าในตอนที่จะย้ายเมืองหลวงมายังกรุงธนบุรีสมเด็จพระเจ้าตากสินได้เสด็จกรีฑาทัพทางเรือล่องมาเรื่อย ๆ จนถึงหน้าวัดแจ้ง ตอนรุ่งอรุณพอดีจึงตั้งชื่อว่าวัดแจ้ง เพื่อเป็นอนุสรณ์ที่ได้เสด็จมาถึงวัดนี้ตอนรุ่งอรุณพอดีน่ะค่ะ

ครั้งสมัยรัชกาลที่ 1 ย้ายพระนครไป วัดแจ้งจึงไม่อยู่ในเขตพระราชวังอีกต่อไปและโปรดเกล้าให้ปฎิสังขรณ์วัดใหม่อีกครั้งแต่ยังไม่แล้วเสร็จค่ะ วัดแจ้งมาปฎิสังขรณ์เสร็จในสมัยรัชกาลที่ 2 และเปลี่ยนชื่อใหม่อีกครั้งว่าวัดอรุณราชธารามและเปลี่ยนเป็นวัดอรุณราชวรารามในรัชกาลที่ 4 จึงถือว่าวัด อรุณราชวรารามเป็นวัดที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานและสำคัญทางประวัติศาสตร์อีกแห่งหนึ่งของประเทศไทย

ชาวต่างประเทศเมื่อมาเที่ยวเมืองไทยส่วนใหญ่จะต้องมาวัดอรุณ ดังนั้นวัดแห่งนี้จึงเปรียบเหมือนสัญลักษญ์ของประเทศไทยเลยล่ะค่ะการมาวัดอรุณเป็นเรื่องที่ง่ายมากหากมาทางเรือ มีเรือข้ามฟากให้บริการตลอดทั้งวัน แต่ถ้ามาทางรถสามารถเดินทางเส้นอรุณอัมรินทร์ ขับรถตรงมาเรื่อย ๆ หรือนั่งรถเมล์สาย 57 ผ่านปากซอยเดินเข้ามาหน่อยก็ถึงวัดเลยค่ะ ดังนั้นทางที่สะดวกจริง ๆ คือทางเรือและนั่งรถสาธารณะเพื่อความสะดวกไม่ต้องหาที่จอดรถให้วุ่นวาย

บริเวณรอบ ๆ วัดอรุณจะมีร้านอาหาร ร้านกาแฟ น่ารัก ๆ ให้บริการนักท่องเที่ยว นอกจากนี้ยังข้าวมันไก่วันอรุณเจ้าเก่า ร้านผัดไทยประยุกต์ ร้านก๊วยเตี๊ยว เยอะแยะมากมายค่ะ แต่ถ้าไม่อยากเสียเงินภายในวัดมีโรงทานให้บริการอาหารและน้ำฟรี รสชาติอร่อย กินได้ไม่จำกัดค่ะ แต่ทำบุญเป็นค่าอาหารตอบแทนบ้างก็ดีมากนะคะ...ตามกำลังศรัทธาค่ะ

เมื่อก้าวเข้าไปยังบริเวณวัดก็จะมีหอระฆังขนาบซ้ายขวาของทางเดิน องค์พระพิฆเนศวร ให้สักการะและยังมีต้นสาละ ที่ดูแลอย่างดีจนสวยงาม นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวส่วนใหญ่ก็ถ่ายรูปคู้ต้นสาละกันทั้งนั้นเลยล่ะค่ะ ถายในตัวอุโบสถก็มีองค์พระประดิษฐานอยู่ มีการทำบุญกระเบื้อง ปูน ทรายถวายวัดตามความเชื่อของชาวพุทธตามกำลังศรัทธา


เมื่อเดินเรื่อยๆออกมาจากตัวอุโบสถก็จะมีทางเดินเข้าสู่พระปรางค์วัดอรุณค่ะ ตอนที่ฉันไปกำลังบูรณะอยู่ทำให้ไม่ได้ขึ้นไปเที่ยวชมพระปรางค์อย่างใกล้ชิดแต่นักท่องเที่ยวก็ยังมาเที่ยวชมกันอยู่ไม่ขาดสายค่ะ มีนักท่องเที่ยวใส่ชุดนางรำถ่ายรูปกันหลายคน ยักษ์วัดแจ้งนี่ใครไปต้องถ่ายรูปคู่ค่ะ แต่ตัวฉันถ่ายรูปคู่กับพญาครุฑแทน แม่น้ำหน้าวัดอรุณเป็นอีกจุดที่สวยงามต่อการถ่ายรูปมากๆๆมีบริการล่องเรือชมวัดต่างรอบๆ เช่นวัดกัลยา และบริการล่องเรือเที่ยวในบริเวณนั้นตามแต่จะตกลงราคากันค่ะ แต่ถ้าหากต้องการล่องเรือชมแม่น้ำเจ้าพระยาก็มีบริการเรือท่องเที่ยวจากท่าเตียนคนละ 40 บาทค่ะ

ในกรุงเทพฯย่านฝั่งธนมีวัดมากมายและมีประวัติที่ยาวนานในบล๊อคต่อๆไปฉันจะนำเรื่องราวของวัดต่าง ๆ มาเล่าให้ฟังกันต่อค่ะ

วันพฤหัสบดีที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2558

Santi Chai Prakan Pavilion and Public Park..ที่นี่มีเรื่องเล่าขานจากอดีต

โพสต์แรกของการเที่ยวคนเดียวแบบสบาย ๆๆใกล้ๆก่อน คือในกรุงเทพฯค่ะสถานที่ท่องเที่ยวที่ฉันจะแนะนำในวันนี้คิดว่าหลายคนรู้จักและผ่าน แต่ยังไม่เคยมาที่นี่แบบจริงๆจังๆ แต่นักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศส่วนมากน่าจะเคยมาเพราะอยู่ใกล้กับ ถนนข้าวสาร นี่เองค่ะ พระที่นั่งและสวนสาธารณะสันติชัยปราการ (Santi Chai Prakan Pavilion and Public Park) คุ้น ๆ แล้วใช่มั๊ยคะว่าอยู่แถว ถ.พระอาทิตย์

ทำไมถึงต้องเป็นที่นี่ในการมาเที่ยว ? ก็เพราะเดินทางสะดวก นั่งรถเมล์มาลงบางลำภู เดินมาหน่อย ก็ถึงแล้ว ถ้าสะดวกทางเรือ ก็นั่งเรือมาขึ้นที่ท่าพระอาทิตย์ เห็นมั๊ยคะ การเดินทางแสนสะดวกสบายและไม่ต้องขับรถมาให้ต้องรถติดอีกด้วย ค่าใช้จ่ายในการเดินทางไม่สูง มีสถานที่ให้เที่ยวรอบ ๆ อีกมากมายเพียงเดินก็เที่ยวได้รอบแล้ว



แล้วที่นี่มีอะไรให้ดู ? ที่นี่มีป้อมปืนค่ะ เคยเป็นป้อมปราการ สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 1 จนมาเสร็จสิ้นลงในสมัยรัชกาลที่ 3 ชื่อว่า ป้อมพระสุเมรุ แล้วยังนำชื่อมาตั้งเป็นถนนด้วย คุ้น ๆ กันใช่มั๊ยคะ กับถนนสุเมรุ นั่นแหล่ะค่ะที่มาที่ไปของความเกี่ยวข้องกัน สถานที่แห่งนี้ถูกบูรณะใหม่หลังจากทรุดโทรมไปตามกาลเวลาในรัชการที่ 5 ค่ะ และมีอยู่เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน เรียกว่า “ สวนสันติชัยปราการ ” เป็นชื่อพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งได้มีการจัดทำโครงการบูรณะป้อมพระสุเมรุและปรับปรุงสภาพภูมิทัศน์ โดยรอบเป็นสวนสาธารณะ ได้มีการจัดสร้างพระที่นั่งเพื่อน้อมเกล้าฯ ถวายเนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 6 รอบ 5 ธันวาคม พ.. 2542 ซึ่งมีความหมายว่า “ มีปราการที่เป็นเครื่องหมายแห่งชัยชนะของสันติภาพ “


เดินเที่ยวไปรอบ ๆ ป้อมทั้ง4 ทิศจะยังคงเห็นป้อมปืน ที่เดิมสร้างขึ้นป้องกันข้าศึกตามกำแพงพระนครชั้นนอก ปัจจุบันเหลืออยู่น้อยแล้วล่ะค่ะสำหรับป้อมปราการแบบนี้ บริเวณโดยรอบณ.ปัจจุบันปลอดภัยค่ะสำหรับการเดินคนเดียวเพราะมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำจุดอยู่ที่นี่ ห้ามดื่มสุรา สูบบุหรี่ ไม่ต้องกลัวอันตรายค่ะ พักผ่อนหย่อนใจได้อย่างสบายใจตามถนัด กิจกรรมที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ของที่นี่คือ ออกกำลังกาย ตั้งแต่แอโรบิค และสารพัดการออกกำลังกายตามถนัดจะมาเดี่ยวหรือมาเป็นกลุ่ม การแลกเปลี่ยนด้านภาษา(ต่างชาติเยอะค่ะ) อ่านหนังสือ ถ่ายภาพ(การถ่ายภาพนี่ข้อเด่นเลยค่ะ)เพราะสามารถมองเห็นสะพานพระรามแปดได้อย่างชัดเจนและสวยงาม สามารถตั้งกล้องถ่ายจนพอใจกี่รูปก็ได้ เพราะนอกจากจะได้วิวแม่น้ำและสะพานแล้ว ยังสามารถถ่ายรูปพระที่นั่งที่วิจิตร งดงาม แต่เข้าไปนั่งไม่ได้นะคะต้องอยู่ชมรอบนอกเท่านั้น


ที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลย คือ ต้นลำพู ต้นสุดท้ายที่ยังหลงเหลืออยู่ โดยมีการสร้างแนวไม้ไว้กันคลื่นลูกโตๆ จะมากระทบต้นลำพูต้นสุดท้ายนี้ไว้ เพื่อจะรักษาให้ต้นลำพูต้นสุดท้ายนี้มีชีวิตอยู่ให้นานที่สุดให้ลูกหลานได้เห็นว่า หน้าตาต้นลำพูเป็นยังไง ถ้าย้อนกลับไปหลายร้อยปีก่อนแถวนี้จะมีต้นลำพูขึ้นอยู่หนาแน่น มีหิ่งห้อยวิบวับ จนต้องเรียกแถวนี้ว่า บางลำพู นี่แหล่ะค่ะที่มา

จะเห็นได้ว่าจุดเล็ก ๆ เหล่านี้ล้วนมีประวัติความเป็นมาของชาติให้คนรุ่นหลังได้รำลึกถึงอดีตที่เคยเป็นมา ได้เล่าขานสืบต่อกันไปนานเท่านานตราบที่ยังมีผืนแผ่นดินไทยได้อยู่อาศัย


วันอังคารที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ฉันอยากใช้ชีวิตของทุกวันไปกับการท่องเที่ยว

                                             

การเดินทางท่องเที่ยวเป็นสิ่งที่ดีที่ใคร ๆ ก็อยากไปถ้ามีโอกาส หลายคนที่เดินทางท่องเที่ยวก็อาจจะเดินทางเป็นหมู่คณะ กับครอบครัว กับเพื่อน กับคนรัก แต่หลายครั้งที่การเดินทางเหล่านั้นต้องสะดุดด้วยคำว่า ว่างไม่ตรงกันหรือหาเวลาว่างไม่ได้ กับอีกหนึงเหตุผลที่หลายคนไม่เดินทางไปท่องเที่ยวเพราะมีภาระ เพราะการท่องเที่ยวต้องใช้เงิน และตนเองไม่มีเงินมากพอที่จะใช้จ่ายฟุ่มเฟือยกับสิ่งเหล่านี้ หลายโครงการที่อาจต้องเก็บพับไว้ก่อน …
                   
สำหรับฉันทุกคนมีเหตุผลสำหรับแต่ละคน ความจำเป็นของแต่ละคนซึ่งไม่ได้ผิดอะไร และทุกอย่างที่เกิดขึ้นมาในชีวิตก็เพราะการตัดสินใจเลือก ใช่มั๊ยคะ การท่องเที่ยวถ้าคิดว่าคือการเดินทางที่ต้องไปทะเล ภูเขา น้ำตก หรือต่างประเทศ มันอาจจะต้องเตรียมการหลายอย่าง แต่การท่องเที่ยวในแบบของฉันที่อยากจะบอกทุกๆๆคนคือ การท่องเที่ยวในสถานที่ใกล้ ๆ ก่อน ไม่ต้องใช้เงินมาก และที่สำคัญเดินทางได้ด้วยตัวคนเดียว
                                           

                                 
การเดินทางคนเดียวไม่เหงาเหรอ? สำหรับฉันไม่คิดว่าเหงานะคะ ขอเพียงเปิดใจให้กว้างยอมรับคนรอบ ๆตัวมิตรภาพก็จะเกิดและสิ่งดีๆอีกมากมายก็จะตามมาค่ะ ประสบการณ์ของการเดินทางจะให้อะไร ๆๆๆกับเราหลายๆๆอย่างขอเพียงเปิดใจค่ะ.....บล็อคของฉันจะมีบทความท่องเที่ยวในแบบสไตล์ที่เป็นตัวของฉันเอง รายละเอียดต่างๆ ทุกสถานที่ ๆ เกิดขึ้นจริงค่ะ หลายๆที่ๆทุกคนอาจเคยมองผ่านและไม่สนใจแต่มันก็เป็นสถานที่ท่องเที่ยวได้เหมือนกันนะคะ