บทความที่ได้รับความนิยม

วันพฤหัสบดีที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

หากความสุขของพ่อแม่...อยู่ที่การเห็นลูกมีความสุข


สำหรับคนที่มีลูก ความสุขทั้งหมดย่อมมาจากลูกตัวน้อยที่แสนจะน่ารัก น่าเอ็นดู โดยเฉพาะตอนกำลังพูดจ้อด้วยแล้วรับรองได้ว่าพ่อแม่ต้องหลงรักมากขนาดไหน พ่อแม่ทุกคนทำงานเหน็ดเหนื่อยแต่แค่เห็นหน้าลูกยิ้มร่าวิ่งเข้ามาหา ความเหน็ดเหนื่อยก็หายเป็ดปลิดทิ้ง ดังนั้นสิ่งที่ดี ๆ มากมายพ่อแม่จึงต้องเลือกในสิ่งที่ดีที่สุดโดยเฉพาะอาณาจักรน้อย ๆ เพื่อลูกน้อยแสนซนตัวเล็กจะนอนหลับอย่างมีความสุขและฝันดี
ห้องเด็กในความรู้สึกของคนทั่วไปดูจะเป็นห้องที่มีการตกแต่งแบบง่าย ๆ แต่ในความเป็นจริง ห้องเด็กเป็นห้องหนึ่งที่มีขบวนการออกแบบตกแต่งสลับซับซ้อนพอสมควร เพราะการตกแต่งห้องสำหรับเด็กนั้นก็เหมือนกับการสร้างสภาวะแวดล้อมที่ควร เป็นธรรมชาติที่ใกล้ชิดกับลักษณะนิสัยของเด็กให้ได้มากที่สุด ความยุ่งยากก็ย่อมมีมากกว่าห้องผู้ใหญ่ซึ่งค่อนข้างตายตัว หมายถึงลักษณะของการใช้สอยที่ไม่ต้องคำนึงถึงการพัฒนาทางร่างกาย ขนาดและสัดส่วนของเฟอร์นิเจอร์ ถือเป็นขนาดมาตรฐานที่สามารถใช้ได้นานเท่าที่ต้องการ แต่ห้องเด็กต้องคำนึงถึงขั้นตอนดังกล่าวเป็นสำคัญ

ในลักษณะครอบครัวแบบไทย ๆ เด็กทารกหรือเด็กแรกเกิดมักจะต้องอยู่รวมกับห้องพ่อแม่จนกว่าอายุถึงขั้นที่จะแยกห้องนอนได้ บางครอบครัวจะแยกให้เด็กนอนต่างหากเมื่อเด็กมีอายุเกิน 10 ขวบขึ้นไป หรือเริ่มจะย่างเข้าสู่วัยรุ่น บางครอบครัวก็อาจจะก่อนหน้านี้ ซึ่งจะต่างกันสำหรับครอบครัวของประเทศตะวันตกที่มักจะแยกห้องเด็กไว้ต่างหาก ตั้งแต่เป็นทารก ทำให้การตกแต่งห้องเด็กหาข้อสรุปตายตัวไม่ได้ว่าห้องเด็กจะมีหน้าที่สนองตอบ การใช้สอยเด็กจริง ๆ นั้นควรเป็นวัยขนาดไหน แต่อาจแยกประเภทได้ว่าการตกแต่งห้องเด็กตามช่วงอายุ เช่น แรกเกิดจนถึง 2-3 ขวบ หรือช่วง 5-10 ขวบ และ 10 ขวบขึ้นไปอย่างนี้ล่ะค่ะ
                        

วันนี้ผู้เขียนจะเขียนถึงห้องสำหรับเด็กอายุตั้งแต่ 5 ขวบเป็นต้นไป ทั้งนี้เพราะเป็นช่วงที่เด็กเริ่มมีการพัฒนาการของการเรียนรู้ ความจดจำ และมีพฤติกรรมการแสดงออกถึงความต้องการที่เด่นชัด ทำให้สามารถรับรู้ถึงความต้องการของสภาวะแวดล้อมอย่างไรให้เหมาะสมกับตัวเด็ก ได้ดีกว่าเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 5 ขวบลงไป หรือถ้าจะพูดง่าย ๆ คือเป็นห้องสำหรับเด็กตั้งแต่แรกเข้าสู่วัยเรียนเป็นต้นไป และเด็กในวันนี้จะมีการใช้ประโยชน์ใช้สอยที่เกี่ยวข้องกับเฟอร์นิเจอร์ที่อย่างชัดเจน เช่น โต๊ะเขียนหนังสือ ตู้เสื้อผ้าหรือชั้นวางของ ทำให้ภายในห้องมีองค์ประกอบหลายอย่างด้วยกัน
       
                                   

ห้องเด็กแม้ว่าจะมีขนาดใหญ่-เล็กขนาดไหน แต่ก็คงไม่กว้างไกลเท่ากับจินตนาการของเด็กผู้เป็นเจ้าของห้อง ทำให้ห้องเด็กจะเป็นสถานที่ซึ่งเป็นอะไรก็ได้ตามใจปรารถนาของเด็ก อาจจะเป็นสนามเด็กเล่น โกดังเก็บของเล่น ห้องสำหรับเรียนหนังสือหรือเล่นดนตรี ฉะนั้นหากจะจัดห้องเด็กคนใดก็ตามควรรู้ถึงความต้องการของเด็กคนนั้น ลักษณะนิสัย ความชอบและความถนัด เพราะที่กล่าวมานี้คาดว่าในบ้านหลาย ๆ หลังคงประสบปัญหายุ่งยากสำหรับกิจกรรมต่าง ๆ ที่เด็กแสดงออก ซึ่งรวมถึงการใช้สอยเนื้อที่ หากสังเกตว่าถ้าหากภายในบ้านไม่มีห้องเด็กที่แยกเฉพาะส่วนที่เด็กจะทำ การบ้านมักจะไม่เป็นที่เป็นทาง ใช้ห้องอาหารบ้าง ห้องรับแขกบ้าง แล้วผลที่ตามมาก็คือข้าวของต่าง ๆ เก็บไม่เป็นที่ ส่งผลถึงการมีระเบียบวินัยในวัยที่เจริญเติบโตต่อไป

การจัดห้องเด็กควรให้มีลักษณะที่ปลอดโปร่ง สำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 10 ขวบ ควรจะมีเนื้อที่ว่างภายในห้องให้มากที่สุด เพราะมีพฤติกรรมของเด็กวัยนี้หลายอย่างที่ต้องใช้สอยอยู่กับพื้นห้อง โดยเฉพาะเวลาเล่นของเล่นบนพื้นห้องจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องตั้งเตียงนอนไว้กลางห้องเช่นเดียวกับการจัดห้องผู้ใหญ่ อาจจัดชิดผนังด้านใดด้านหนึ่ง ภายในห้องควรมีการถ่ายเทอากาศได้ดี การจัดวางแปลนภายในห้องจึงอาจจะไม่เป็นระบบนัก แต่จะยึดความสะดวกเป็นหลัก
                 

คำถาม ???? แล้วห้องเด็กควรจะมีอะไรบ้าง??? มีเฟอร์นิเจอร์ใดบ้างที่จะเหมาะสม โดยทั่วไปก็มักจะมีเตียงนอนตามขนาดพอเหมาะกับขนาดเนื้อที่ห้อง เช่น หากห้องใหญ่หน่อยก็อาจใช้เตียงขนาดมาตรฐานทั่วไปมักเป็นเตียงเดี่ยวต่อเด็ก 1 คนหรืออาจใช้เตียงสำหรับเด็กโดยเฉพาะ ซึ่งจะมีขนาดสั้นกว่าขนาดมาตรฐาน(เตียงขนาดมาตรฐานยาว 1.80-2.00 เมตร เตียงสำหรับเด็กขนาด 1.50 เมตร) เตียงเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 10 ขวบ ควรมีแนวกันขอบที่สูงกว่าที่นอน เพื่อกันเด็กนอนดิ้นหรืออันตรายจากการนอนตกเตียง(ผู้เขียนมีประสบการณ์ด้านนี้โดยตรงและบ่อยมากค่ะ) ดังนั้นสำคัญมากนะคะที่ต้องมีแนวกันขอบค่ะ  โดยเฉพาะยิ่งเป็นเตียง 2 ชั้นก็ยิ่งต้องมี ส่วนเด็กที่อายุเกิน 10 ขวบไม่ต้องมีกันขอบนี้ นอกจากนี้ก็ควรมีโต๊ะสำหรับเขียนหนังสือเพื่อใช้สำหรับเป็นที่เรียน เขียน อ่าน ทำการบ้าน เด็กในวัย 5 ขวบขึ้นไปนี้สามารถใช้โต๊ะ-เก้าอี้ขนาดมาตรฐานได้ในกรณีที่เผื่อการเจริญ เติบโตต่อไป ซึ่งจะเห็นได้ว่าเด็กในวัยนี้สามารถใช้โต๊ะ-เก้าอี้ของผู้ใหญ่ เวลานั่งเท้าจะลอยสูงกว่าระดับพื้น แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อการใช้งาน ซึ่งสามารถใช้จนถึงวัยรุ่นหรือเป็นผู้ใหญ่ แต่ถ้าสามารถหาขนาดเฟอร์นิเจอร์ให้สัมพันธ์กับสัดส่วนตามวัยเด็กได้จะเป็น การดีกว่า เพราะเด็กบางคนใช้โต๊ะผู้ใหญ่ได้จริง แต่เวลาเขียนหนังสือต่าง ๆ คางหรือคอจะอยู่ตรงกับขอบโต๊ะพอดี

เฟอร์นิเจอร์อื่น ๆ ก็จะมีชั้นวางของ ตู้เสื้อผ้าโดยเฉลี่ยเด็กอายุต่ำกว่า 10 ขวบจะใช้ตู้หรือชั้นที่มีความสูงไม่เกิน 1.50 เมตร เป็นขนาดที่เด็กสามารถเอื้อมมือจับสิ่งของหรือราวแขวนเสื้อผ้าภายในตู้ได้ แต่ถ้าหากต้องการที่จะทำแบบ BUILT-IN เช่นเดียวกับห้องผู้ใหญ่ เพื่อว่างานตกแต่งต่าง ๆ จะสัมพันธ์กันหมดทั้งห้อง เพื่อความเรียบร้อยใช้ตู้เต็มขนาดความสูงของห้อง อาจใช้วิธีการแบ่งครึ่งของความสูงทั้งหมดของตัวตู้ ครึ่งล่างใส่หรือเก็บของใช้จำเป็นที่ต้องใช้ประจำ ส่วนบนเก็บของอื่น ๆ การแบ่งนี้ทำโดยแบ่งบานเปิดเป็น 2 ช่วงหรือเป็นบานเปิดเดียวกัน(ตลอดตามความสูงของตู้) แล้วใช้วิธีแบ่งเฉพาะเนื้อที่ภายในตู้ โดยทำเป็นชั้นปรับระดับได้หรือให้มีส่วนตายตัวน้อยที่สุด การทำตู้เก็บของหรือชั้นวางของที่ตายตัวทีเดียวเลยนั้นอาจไม่จำเป็นนัก เลี่ยงได้ทำเป็นลิ้นชักมีล้อเลื่อนที่สามารถสอดเก็บใต้เตียง ใต้โต๊ะ ชั้นตะแกรงเหล็กหรือหวายก็ได้ ซึ่งอายุการใช้งานจะพอดีกับเวลาที่เปลี่ยนแปลงวัยที่สามารถดัดแปลงหรือ เคลื่อนย้ายได้ง่าย

เด็กในวัยที่เจริญเติบโตนี้ใช้โต๊ะเครื่องแป้ง (โต๊ะสำหรับแต่งตัว)แต่งตัวเองได้ ขนาดความสูงไม่แตกต่างไปจากขนาดของโต๊ะทำงาน เด็กที่มีอายุเกิน 10 ขวบจนถึงวัยรุ่นจะเริ่มมีสิ่งอื่นเข้ามาแทนที่ อาจเป็นวิทยุ โทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ เกม หรือเครื่องดนตรีของโปรดตามวัย เช่น ภาพโปสเตอร์ต่าง ๆ เครื่องกีฬาต่าง ๆ ซึ่งเด็กวัยนี้มักจะนำมาเก็บไว้ในห้องของตนเอง ฉนั้นชั้นวางของแบบชั่วคราวคงต้องเปลี่ยนมาเป็นแบบที่ถาวรขึ้น การจัดห้องสำหรับในช่วงวัยที่ต่างกันก็ย่อมมีข้อที่จะใช้สอยต่างกันด้วย  อย่างเฟอร์นิเจอร์ควรเป็นแบบที่มีน้ำหนักเบา เคลื่อนย้ายง่าย เช่น พวกเก้าอี้สำหรับนั่งเขียนหนังสือ ชั้นวางของเล่นอาจเป็นหวายหรือพลาสติกก็ได้การเลือกใช้สีกับห้องเด็กนั้น โดยทั่วไปเด็กจะชอบสีสันที่สดใส แต่สีเหล่านี้จะใช้กับสิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ ภายในห้องจะเหมาะสมกว่า เช่น พวกเฟอร์นิเจอร์ ผ้าม่าน ผ้าปูที่นอน ส่วนห้องเป็นสีเรียบ ๆ สะอาดตา ก็ย่อมใช้ได้ เพราะเด็กตั้งแต่ 5 ขวบขึ้นไปนั้นส่วนใหญ่จะเลิกพฤติกรรมการขีดเขียนบนพื้นผนังกันแล้ว จึงไม่ต้องระมัดระวังในปัญหานี้แต่ทั้งนี้ห้องเด็กก็ไม่ถึงกับเรียบจนเกินไป อย่างเช่นเราสามารถจัดลูกเล่นบางส่วนในห้องได้ เช่น การเลือกใช้วอลล์เปเปอร์ที่เป็นลายการ์ตูนหรือการวาดรูปลงบนตู้เสื้อผ้าหรือ แต่งสีต่าง ๆกันหลาย ๆ สีบนหน้าลิ้นชักแต่ละตัวที่ทำให้เกิดสีสันได้
           

นอกจากนี้ก็ยังมีหลักของการเลือกใช้สีที่จะใช้ในการตกแต่งห้องเพื่อหวังผล ต่อการสัมผัส อย่างเช่นห้องที่มีขนาดแคบก็ควรเลือกใช้สีที่สว่างและไม่ควรมีสีสันมากเกินไป หรือการเลือกใช้วอลล์เปเปอร์ที่มีลวดลายไม่ใหญ่โตนัก ส่วนห้องที่มีขนาดกว้างใหญ่ก็สามารถที่จะเลือกตกแต่งด้วยวอลล์เปเปอร์ที่มี ลวดลายใหญ่ขึ้นได้แล้วก็อาจแต่งบริเวณรอบขอบประตูหน้าต่าง บังเชิงเพดาน แถบตกแต่ง (BORDER) เสริมให้ดูสวยงามเพิ่มขึ้นได้ หากต้องการให้ห้องดูแคบลงก็ใช้สีสดและสีทึบ ห้องจะดูอบอุ่น หากเลือกใช้สีแดง สีส้ม สีเหลือง และสีเขียวมรกต เป็นต้นห้องจะดูเย็นด้วยการเลือกใช้สีเขียวอ่อน สีฟ้า สีเทาและสีม่วงอมฟ้า หรือตกแต่งแบบ หลายเฉดสี
                                     

ในด้านความปลอดภัย สำหรับห้องเด็ก คนไทยมักจะมองข้ามความสำคัญในข้อนี้ เช่น พื้นห้องควรปูพรม เพื่อป้องกันการลื่นล้ม ซึ่งถ้าเลือกวิธีปูเต็มห้องก็จะยิ่งปลอดภัยกว่าการใช้เป็นชิ้นเล็ก ๆ โดยเฉพาะหน้าเตียงหรือหน้าประตู เพราะโอกาสลื่นมีมากกว่า ถ้าไม่ปูพรมพื้นห้องก็ไม่ควรขัดมันมากเกินไป ใช้แบบผิวด้านหรือผิวมันกลับด้านจะปลอดภัยกว่า  สำหรับเฟอร์นิเจอร์ที่เลือกใช้ไม้ถ้าเลือกแบบที่มีขอบคมขอบเหลี่ยม ให้เลี่ยงไปใช้ขอบมนหรือลบมุม บริเวณขอบเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ที่มีส่วนประกอบของกระจกให้น้อยที่สุด สิ่งสำคัญอีกประการก็คือปลั๊กไฟ หากต้องใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าเช่น โคมไฟหัวเตียง โคมไฟที่โต๊ะเรียนหนังสือ  ก็ควรอยู่ในตำแหน่งลับตาและเด็กเอื้อมไม่ถึง ปลั๊กที่ไม่ใช้ควรหาหมวกครอบปิดไว้ การที่เด็กมีของเล่นจำนวนมากอยู่ในห้อง ควรสอนให้รู้ถึงการเก็บให้เป็นระเบียบ เพราะเวลาเดินอาจเผลอเหยียบให้ลื่นล้มได้ เป็นอันตรายอย่างหนึ่งที่พบเห็นบ่อยในห้องเด็กนะคะ

อย่างไรก็ตามโดยส่วนใหญ่การตกแต่งห้องเด็กโดยทั่วไปมักจะแต่งแบบง่าย ๆ เพียงแค่ซื้อของมาใส่เป็นอันเรียบร้อย หรือแต่งตามแบบฉบับของห้องผู้ใหญ่เลยเพื่อว่าไม่ต้องเสียเงินตกแต่งใหม่อีกครั้ง   แต่สิ่งเหล่านี้อาจไม่ใช่ความต้องการของเด็กอย่างแท้จริงค่ะ  แต่ก็สามารถช่วยได้ด้วยการเลือกใช้สีสันตามส่วนต่าง ๆ เช่น ผ้าม่าน ผ้าคลุมเตียง ให้เป็นลวดลายสำหรับเด็ก สีสันของๆเล่น รูปภาพ สิ่งของที่เด็กชอบก็สามารถช่วยได้เช่นกัน

พัฒนาการของเด็กมีส่วนสำคัญในการสร้างบุกคลิกส่วนตัว และประสิทธิภาพในการเรียนรู้และมีส่วนสำคัญที่จะส่งผลต่อไปในวันข้างหน้าเมื่อเป็นผู้ใหญ่ ดังนั้นพ่อแม่ควรมีส่วนร่วมในการให้การสนับสนุนและส่งเสริมพัฒนาการในแต่ละช่วงวัยของลูกน้อยเพื่อสร้างต้นทุนที่มีประสิทธิภาพในการดำรงชีวิตอย่างมีความสุขในอนาคต

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น