บทความที่ได้รับความนิยม

วันพุธที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2558

รู้สึกหลอนมั๊ย...ที่ต้องตื่นไปทำงานวันพรุ่งนี้???


                              

คุณเคยรู้สึกใจหายเมื่อถึงวันจันทร์? รู้สึกใจหายเมื่อวันหยุดยาวหรือลาพักร้อนกำลังจะหมดลง? หลายๆคนคงตอบ “ใช่” แต่ก็มีบางคนที่ตอบ “ไม่”

สำหรับคนที่ตอบ “ไม่” ต้องขอแสดงความยินดีที่มีความสุขกับงานที่ทำและการทำงาน แต่สำหรับกรณีของคนที่ตอบ “ใช่” นั่นคือสัญญาณบางอย่างของอาการ Sunday Blue อาการนี้เป็นกันแทบทุกคน มันเป็นความรู้สึกหดหู่ที่คิดว่าพรุ่งนี้ต้องไปทำงาน มันจะรู้สึกใจหายที่วันอาทิตย์กำลังจะหมดลง วันจันทร์กำลังเข้ามา แต่ใจไม่พร้อม ตัวไม่พร้อมยังอยากสนุกมีความสุขกับการเที่ยวอยู่แต่ก็ยังถือว่าปกติอยู่นะคะไม่แปลกสำหรับคนทำงานและแม้แต่นักเรียน นิสิต นักศึกษา ทุกสถาบัน

แต่อาการหลอนเมื่อรู้สึกว่าต้องไปทำงานนี่ต่างหากที่เป็นประเด็นเพราะเป็นสัญญานที่รุนแรงกว่า Sunday Blue หลายเท่า อาการดังกล่าวที่ทำให้รู้สึกใจฝ่อแค่คิดว่าต้องมาทำงานก็รู้สึกราวกับฝันร้าย แสดงว่าจิดใต้สำนึกคุณต้องรู้สึกขยะแขยงอะไรบางอย่างทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัวกับงานที่ทำ ออฟฟิศที่ทำอยู่อย่างแน่นอน ถ้าหากมีอาการแบบนนี้ ตัวเราคงต้องพิจารณาแล้วล่ะค่ะว่างานที่ทำอยู่ตอบโจทย์ของเป้าหมายชีวิตได้มากหรือน้อย ในระยะยาวของตัวเราเพราะถ้าคำตอบออกมาว่า ตอบโจทย์เป้าหมายในชีวิตของเราน้อยและน้อยลงในระยะยาวด้วยแล้ว ..ก็คงต้องถึงเวลาเปลี่ยนลักษณะงานและที่ทำงานกันเถอะเพราะการทนอยู่ใน Comfort Zone ที่เคยชิน นอกจากเสียเวลาแล้วยังเสียสุขภาพจิตของตัวเราในระยะยาวด้วยเช่นกัน ความรู้สึกหดหู่ ไม่เป็นผลดีต่อตัวเราหรอกนะคะ..ตัดมันทิ้งไปเถอะ...ก้าวไปข้างหน้าได้แล้ว

แต่บางลักษณะงาน หรือบางอาชีพ...แค่รู้ว่าตื่นมาต้องไปพบเจอ อาการ Sunday Blue ก็กำเริบ แต่เมื่อนั่งคิด ไตร่ตรองอย่างรอบคอบแล้วปรากฏว่า มันสามารถตอบโจทย์เป้าหมายชีวิตของเราในระยะยาวได้อย่างแน่นอน นี่ล่ะ ต้องใช้กระบวนการรักษาอย่างเร่งด่วน ก็เพราะว่าเราเข้าใจแล้วนี่ ว่าไอ้งานลักษณะนี้สามารถตอบโจทย์เป้าหมายในชีวิตได้จะทิ้งไปมันเสียของค่ะ ถ้าหากตัวเรามีอาการลักษณะนี้แล้วล่ะก็ เราต้องแก้ที่ My Set ด้วยการกำหนดระยะเวลาของการทำงาน เช่น กำหนดงาน 3-5 ปี ที่จะทำงานนี้ ทำมันเสร็จเราจะไปใช้ชีวิตแบบไหนก็ตามใจเรา แบบนี้เราไม่จำเป็นต้องชอบแต่ขอให้เข้าใจว่าทำไมต้องทำ เท่านั้นพอ และอาการตกนรก ขยะแขยง เซ็งและไร้ความสุขที่ต้องทน วิธีแก้คือแก้ที่จิตใต้สำนึก(เหมือนกับการแก้พิมพ์เขียว) ซะใหม่ ว่าอะไรทำให้เรารู้สึกเช่นนั้น เพราะการเปลี่ยนพิมพ์เขียวความคิด ผลที่ได้มันก็จะสร้างตามพิมพ์เขียวต้นแบบเสมอ อาจจะฝืนความรู้สึกแต่ถ้ามันคือการรักษาก็จำเป็นที่จะต้องทำ เพราะเราไม่ได้ทำในสิ่งที่ชอบแต่ทำเพราะจำเป็น(มันตอบโจทย์เป้าหมายชีวิตของเราในระยะยาว) และเรารู้ว่าหากทำสำเร็จ เป้าหมายในชีวิตจะสำเร็จด้วย....เมื่อจำเป็นต้องก้าว ก็ต้องเขียนพิมพ์เขียวอันใหม่ในหัว อย่าลืมว่า ตัวเราเป็นในสิ่งที่เราคิดเสมอไม่ได้เป็นจากสถาณการณ์ของความเป็นจริงของโลก...หากทำสำเร็จคุณชนะ

วันเสาร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2558

คนเราจะไม่มี...ในสิ่งที่เราคิดว่าไม่สำคัญเสมอ

                       
                                         
คืนแห่งฝนตกหนัก อากาศหนาวๆ กำลังดีแบบนี้กำลังทำอะไรกันอยู่คะ...อย่าคิดลึกนะคะแค่อยากรู้ว่ามีกิจกรรมอะไรที่ทำกันบ้างช่วงฝนตกหนักๆในตอนกลางคืนเท่านั้นเอง  ถ้าพูดถึงช่วงฤดูฝนในประเทศไทยช่วงนี้กิจกรรมที่เหมาะกับการผจญภัยแบบนึงที่น่าสนใจคือ การล่องแก่ง ใช่มั๊ยคะ สถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งต่างก็มีกิจกรรมแบบนี้เพราะท้าทาย ตื่นเต้น และอันตราย กิจกรรมล่องแก่งในไทยก็มีหลายที่ๆรอคอยให้บรรดานักท่องเที่ยวจากทุกสารทิศมาผจญภัย เพิ่มรสชาด ให้กับชีวิต

ทำไมต้องมีรสชาดด้วยล่ะชีวิตเนี่ย?

อ้าว! ก็ชีวิตที่ราบเรียบเหมือนเดิมในทุกๆวันมันไม่น่าเบื่อเหรอ ออกไปทำอะไรให้ท้าทาย เป็นการเพิ่มรสชาดให้กับชีวิตบ้างมันก็ดีอยู่แล้ว

แต่ที่ฉันเป็นอยู่ทุกวันมันก็ดีแล้วนี่นา ไปเที่ยวฉันไม่ค่อยมีเวลา และมันไม่สำคัญแค่ทำงานหาเงินก็ไม่มีเวลาแล้ว

ถูกต้องค่ะ คนเราย่อมไม่มีในสิ่งที่เราไม่เห็นความสำคัญเสมอ และส่วนใหญ่เราก็จะไม่ทำในสิ่งที่เราไม่เห็นความสำคัญ ซึ่งเราก็จะสูญเสียทุกสิ่งที่เราไม่เห็นความสำคัญไปเสมอๆๆนั่นเอง เราเป็นในสิ่งที่คิดเสมอค่ะ

สิ่งที่เห็นชัดง่าย ๆ ที่สุดถ้าพูดถึงประเด็นนี้ ก็คือ เงิน
คนรวยมองเงิน แตกต่างจากคนฐานะปานกลาง  จน เสมอ
คิดมั๊ยคะว่า เงินสำคัญ ?
หลายคนอาจจะตอบว่า เงินไม่ใช่สิ่งที่สำคัญเสมอไปหรอก       จริงเหรอที่ว่าเงินไม่สำคัญ?
คนที่ตอบใช่   คุณถังแตกอยู่หรือเปล่า?

ลองคิดดูดี ๆ นะคะ  ถ้าคนที่มองว่าเงินไม่ใช่สิ่งสำคัญเสมอไป  นั่นหมายถึงคนๆนั้นย่อมหาทางกำจัดเงินไปให้พ้นๆๆๆ(ก็มันไม่สำคัญ คนเราย่อมไม่ต้องการสิ่งที่เค้าเห็นว่าไม่สำคัญ)..นั่นคือคนๆนั้นจะหาทางกำจัดเงินออกไปทุกวิถีทางนั่นแหล่ะ  รวมถึงหาทางสร้างหนี้ด้วย

บางคนอาจบอกว่าอยู่อย่างพอเพียง ใช้ชีวิตอยู่อย่างพอเพียง เงินไม่จำเป็นหรอก ปลูกผักเอง ปลูกข้าวเอง  ปลาหาเอง วันๆๆไม่ต้องใช้เงิน  วิธีคิดแบบนี้มันก็ดีแต่ส่วนใหญ่แล้วต้องใช้เงินมั๊ยล่ะคะ การศึกษาของลูกต้องใช้เงิน  ไปหาหมอก็ต้องใช้เงิน  เสื้อผ้าก็ต้องใช้เงิน  น้ำมันรถก็ต้องใช้เงิน ยังไงเงินก็ยังมีบทบาทอยู่ดีในสังคมปัจจุบัน เพียงแต่พอเพียงในไลฟ์สไตล์ของแต่ละคนอย่างเหมาะสมหรือไม่  เพราะ บางคนใช้ฟืนหุงข้าว  แต่อีกคนอยู่คอนโดใจกลางกรุงเทพฯใช้ฟืนหุงข้าวก็แตกตื่นกันทั้งคอนโดนั่นแหล่ะ พอเพียงในไลฟ์สไตล์ของแต่ละคนนั่นแหล่ะจึงจะมีความสุข
 
บางคนบอกว่ามีเงินซิดีซื้อความสุขได้สารพัด อยากได้นู่นนี่นั่น อยากมีชีวิตสุขสบาย จึงทำงานสารพัด มากมายหลายอย่างจนสุขภาพเสื่อมโทรม อย่างนี้ก็ไม่มีความสุขเพราะชีวิตตกเป็นทาสเงิน

วันนี้เราทุกคนให้ความสำคัญกับอะไรในชีวิตมากที่สุด?
เราเคยถามตัวเองแบบนี้บ้างหรือไม่?

ในทุกวันที่ผ่านไป เราลืมให้ความสำคัญกับบางคน บางสิ่ง บางอย่างในชีวิตเราไปหรือเปล่า?  
ตอนนี้เรามีชีวิตอยู่ตามกระแสของสังคม จนลืมเรื่องสำคัญของชีวิตไปหรือเปล่า?

ทุกวันนี้สิ่งที่เรากำลังทำอยู่ เรามีความสุขอย่างแท้จริงหรือไม่?

เวลาไม่เคยหวนกลับ ลองคิดทบทวนให้กับชีวิตดูบ้าง ก็จะพบความหมายในชีวิต เป้าหมายในชีวิตจะมีคุณค่าเสมอหากเราให้ความสำคัญ หากไม่เคยคิด  ลองทบทวนความรู้สึกของเราอีกครั้ง สมดุลย์ในชีวิตจะมีได้หากเราให้ความสำคัญ คนเราจะมีในสิ่งที่เราคิดว่าสำคัญเสมอ วันนี้เรามีสิ่งที่เราต้องการหรือยัง?

วันพฤหัสบดีที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2558

จริงหรือไม่? ที่สังคมออฟฟิศ ชอบสวมหน้ากากและแทงข้างหลัง

                                                                   


มนุษย์เงินเดือนในสังคมออฟฟิศ จริงหรือไม่?  ที่ชอบสวมหน้ากากและแทงข้างหลัง ดีต่อหน้าและด่าลับหลัง  ??มนุษย์ทุกๆคนจะมี หน้ากากส่วนตัวติดตัวไว้เสมอค่ะ และคนเราจะสวมหน้ากากนั้น เมื่อเขาไม่ได้อยู่คนเดียว หน้ากากแบบหน้าอ่อนโยน แบบหน้าโกรธๆ หน้าแบบเรียบร้อย หรือแบบหน้ากวนๆหน่อย(กวนตีนและปากหมา) มันมีหลายแบบ….ทำไมต้องทำแบบนั้น ...ก็เพราะเป็นสังคมไงคะ โดยเฉพาะสังคมออฟฟิศจะเห็นได้ชัดเพราะแคบกว่า เห็นชัดกว่าและง่ายกว่าโดยเฉพาะพวกเราคนทำงานประจำเห็นกันอยู่ทุกวัน  ไม่เว้นกระทั่ง Social Network

ในออฟฟิศทั้งหลาย องค์กรใหญ่จนกระทั่งเล็ก ทุกๆที่ล้วนมีเรื่องที่น่าปวดหัวและน่าเบื่อโดยเฉพาะในเรื่องของคน  เมื่อเราอยู่กับคนที่เรียกว่าเพื่อนร่วมงาน เคยบ้างมั๊ยที่ต่อหน้าคุณเขาพูดจาดี ลับหลังเอาคุณไปนินทา  ด่าลงคุณลง Facebook ไปไม่ถึง 1 นาทีเมื่อคุณเดินมา เขา กลับยิ้มแย้มแจ่มใสพูดจาไพเราะ      เมื่อคุณมีความทุกข์แกล้งทำเห็นใจและนำเรื่องของคุณไปนินทากันสนุกบนโต๊ะอาหาร   หรืออิจฉาริษยาเมื่อคุณได้ดีกว่าในผลของการทำงาน...มันต้องมีบ้างล่ะสักข้อที่เคยเจอใช่ไหมคะ...ก็มันเป็นเรื่องจริง
                                           

แล้วทำไมคนเราจึงสวมหน้ากากสิ่งนั้นล่ะ?
เพราะคนส่วนใหญ่คิดว่า หน้าจริงของตัวเองมัน แย่”( คนเรามักเป็นในสื่งตนเองที่คิด ไม่ใช่เป็นตามความเป็นจริง)หรือ อยากให้ดูดีมากขึ้นในสายตาคนรอบตัว จึงเอาหน้ากากมาปิดหน้าแท้จริงของตัวเองไว้ เพราะมนุษย์คือสิ่งมีชีวิตที่ชอบการสร้างภาพ จะมากหรือน้อยแล้วแต่บุคคล ก็คนทุกคนก็อยากดูดีทั้งนั้นแหล่ะใช่ไหม
                                               

 คนเราชอบความสุข ดังนั้นวิธีสวมหน้ากากนี้จึงตอบโจทย์ในหลายๆคน เพราะมันเร็วกว่า ง่ายกว่า บางทีเราไม่ได้อยู่กับฝ่ายตรงข้ามนานๆสักหน่อย ใช้หน้ากากปิดบังไว้นี่แหละดีแล้ว และคนเรา เมื่ออยู่ในเหตุการณ์การสนทนาจริง คนเราจะทนไม่ไหวหรอกค่ะ จะต้องยกหน้ากากมาสวมทันทีเลย เพราะคิดว่า ฉันแย่กว่า หรือ เพราะคนที่เราคุยอยู่คือคนใหญ่โตในสังคม จึงต้องให้ตัวเองดูดีขึ้นบ้าง มันเป็นกลไกลธรรมชาติของการปกป้องตนเองค่ะ เพียงแต่การสร้างภาพนั้นไม่ได้ทำร้ายคนอื่น ๆ คนเราก็มีสิทธิและมีความสุขที่ทำได้..แต่ถ้าหน้ากากหลาย ๆ ชั้น หลายๆ บุคลิกภาพนี่ก็ต้องพิจารณาให้หนักนะคะว่าจริง ๆ แล้วคุณยังมีความสุขกับการมีชีวิตในสังคมนี้อยู่หรือเปล่า
                                               

โดยส่วนตัวเองก็เหมือนกันค่ะ ฉันเองก็สวมหน้ากากนี้ตอนที่อยู่กับคนหลายๆคน เป็นหน้ากากชั้นดีด้วย ทั้งๆที่หน้าจริงมันมันก็ไม่ได้เลวร้ายแต่เพราะในสังคม มนุษย์เรายอมรับความจริงกันไม่ได้ พูดความจริงกลับกลายเป็นการทำร้ายความรู้สึกของคนอื่น ๆ ที่เราอยูร่วมด้วยเราจึงต้องฝืนใจทำ..(นั่นล่ะหน้ากากสังคม)ที่พัฒนาจนกลายเป็นวงจรอุบาทว์ไม่จบสิ้นของสังคมที่เรียกว่ามนุษย์เงินเดือน

I quit...เอาไงดี?

                                        

ว่าด้วยเรื่องการของความกล้าที่จะก้าวออกจากบริษัท(ลาออก นั่นเอง) เมื่อคิดที่จะลาออก เราก็จะต้องมีแผนการลาออกที่ชัดเจน แม้ว่าอารมณ์อยากลาออกขอเราจะเร่งเร้าซะเหลือเกิน แต่เราก็ควรตรึกตรองหาเหตุผลและมาตราการมารองรับการตัดสินใจในแต่ละครั้งของการตัดสินใจที่จะลาออกด้วยเพราะเมื่อลาออกแล้วก็เท่ากับว่าเราตัดท่อน้ำเลี้ยงชีวิตของตัวเองไปในทันที

                                      

ถามว่าท่อน้ำเลี้ยงในแต่ละเดือนที่เราตัดมันทิ้งไปแล้ว อะไรจะเกิดขึ้น?..หลายคนก็มักตอบว่าก็ไปหางานทำ ไปทำงานส่วนตัวหรือไปขายของ อนาคตเป็นสิ่งที่มองไม่เห็นเราจะรู้ได้อย่างไรเราจะหางานทำใหม่ได้ในเวลาอันสั้น งานส่วนตัวที่ออกไปทำมันดีมีรายได้มากพอกับการดำเนินชีวิต หรือขายของมันจะขายดิบขายดีหรือเปล่า? แม้กระทั่งการถูกซื้อตัวด้วยเงินเดือนที่มากกว่าเดิม เราจะรู้ได้อย่างไรว่าวัฒนธรรมขององค์กรใหม่ที่เราไปอยู่เหมาะกับเราหรือเปล่า เพราะถ้าหากคำตอบที่ออกมาจากทุกคำถามคือ ไม่แน่ใจ นั่นแสดงว่า เราต้องมีการเตรียมพร้อม
อย่างที่รู้กันว่าเมื่อเรามีการเตรียมพร้อมที่ดีมากเท่าไหร่ความมั่นใจจะเพิ่มขึ้นตามมาและความกลัวจะลดน้อย เมื่อทุกอย่างเป็นตามขั้นตอนทีเราวางแผนไว้ สิ่งที่ตามมาก็เข้าใกล้คำว่าสำเร็จ ดังนั้น การเตรียมการลาออกก็เป็นสิ่งที่ควรกระทำเพราะเราต้องดูแลชีวิต ทั้งชีวิตตัวเองและคนที่อยู่เบื้องหลัง คนโสดอาจจะสบายหน่อยเพราะรับผิดชอบตัวเองอย่างเดียวแต่เมื่อตัวเองยังรับผิดชอบไม่ได้มันก็ต้องเดือดร้อนพ่อแม่ ครอบครัวเราน่ะแหล่ะ..หนีไม่พ้นหรอก

 

แล้วเตรียมพร้อมอย่างไร? เราต้องรู้ค่าใช้จ่ายของตัวเองในแต่ละเดือนอยู่แล้ว เราก็จดออกมาว่า ภาระค่าใช้จ่ายของเราเท่าไหร่ เราต้องเตรียมมันไว้อย่างน้อย 6 เดือน และต้องมีเงินฉุกเฉินรองรับอีก 6 เดือน ถ้าตัวเราเองเป็นคนที่บริการเงินได้ 6 กองมาก่อนก็ไม่ต้องคิดมากบวกเพิ่มไป 6 เดือนแล้วค่อยลาออก เราก็จะไม่เครียดมากเมื่ออยู่ในสภาะที่ปราศจากท่อน้ำเลี้ยงเหมือนที่เคยผ่านมาเมื่อสมองไปเครียด ไอเดียดี ๆ ก็จะมาพร้อมกับการทำงานใหม่และทำให้เราสามารถกลับลำ ขยัยบขาย ต่อไปในทิศทางที่เป็นบวกและมีความสุขให้กับชีวิต
     

และในระหว่างเตรียมตัวลาออกเราควรทำอย่างไร? อันดับแรกคือการทำใจ เพราะมีไม่กี่คนหรอกค่ะที่ลาออกก็สามารถมีเงินใช้อย่างสุขสบายไม่ลำบาก มีไม่ถึง 5 % หรอกค่ะในสังคมนอกนั้นภาระเพียบ เดือนชนเดือนกันทั้งนั้น ในช่วงของการเตรียมตัวเราควรหางานรองรับ(งานที่ตัวเองชอบและถนัด หาอย่างตั้งใจนะคะไม่ใช่ขอให้ได้งานอะไรก็ช่างมันก่อนเหอะ ไปแล้วค่อยว่ากันทีหลัง) อย่างหลังนี่ไม่เอานะคะเพราะ...มันทุกข์สาหัสยิ่งกว่าการลาออกจากที่เก่าเยอะมาก เหมือนหนีเสือปะจระเข้ อย่างนั้นเลย...การเตรียมตัว ข้อสองคือ กำหนดระยะเวลาของการที่จะลาออก เช่น อีก 3 เดือนจะลาออก อีก 5 เดือนจะลาออก และเมือ่เรากำหนดเวลาแล้วนั่นก็เท่ากับว่าเรามีเป้าหมายแล้วล่ะว่า เราทนต่อเพียงเท่านี้แล้วเราก็จะเป็นอิสระ ความกดดันในตัวจะน้อยลง และดีใจเมื่อยิ่งเข้าใกล้วันที่เราจะไปนั่นเอง ข้อ 3 เก็บเงินเตรียมลาออกให้พอกับค่าใช้จ่ายที่เรามีภาระ +เพิ่มอีก 6 เดือน ข้อ4 .ตั้งรางวัลให้ตัวเองว่าเมื่อทำครบทั้งหมดแล้วจะให้อะไรกับตัวเอง เช่นไปเที่ยวในสถานที่ๆเราอยากไปตั้งนานแล้ว 1 เดือน ..ระยะเวลามี่ทนอยู่ จะกลายเป็นช่วงเวลาแห่งความหวังขึ้นมาอย่างตื่นเต้นทันทีเลยล่ะค่ะเพียงเท่านั้นเราก็จะไม่ต้องบาดเจ็บหลังการตัดสินใจลาออกอีกต่อไป

วันพุธที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2558

กล้าที่จะก้าว

                                            

                                           ถ้าคุณบินไม่ได้... ให้วิ่ง
                                           ถ้าคุณวิ่งไม่ได้... ให้เดิน
                                           ถ้าคุณเดินไม่ได้... ให้คลานไป
                                           ขอให้รักษาความสม่ำเสมอเอาไว้
                                                          ...
ก้าวต่อไปเรื่อยๆ............                                            อะไรก็ตามที่คุณทำได้... จงทำ
                                                

มนุษย์เราส่วนใหญ่มีชีวิตอยู่อย่างแข็งแรงได้ไม่เกิน 80 ปี ดังนั้นอะไรที่อยากทำก็จงรีบทำซะ...คนเราเกิดมาบนโลกใบนี้จึงสมควรที่จะใช้ชีวิตไม่ใช่การถูกใช้ชีวิต แต่บางครั้งภาระหน้าที่ๆมีทำให้ไม่สามารถก้าวออกไปได้ ความกลัวก็ไปอีกอย่างนึง กลัวผลในอนาคต ความหวาดกลัวเหล่านี้ทำให้ไม่กล้าที่จะก้าว กลัวนู่น นี่ นั่น กลัวสารพัดจะกลัวและเมื่อยิ่งคิดความหวาดกลัวยิ่งเติบโตจนถีบความกล้ากระเด็นหายไปครั้งแล้วครั้งเล่า....จนไม่กล้าขยับไปไหนเผลอแป๊ปเดียว...สิ่งแวดล้อม สังคม รอบข้างเปลี่ยนไปถึงไหนต่อไหน...และตัวเรากลายเป็นคนล้าหลังอย่างช่วยไม่ได้..คิดแล้วก็เสียดายเวลา


ดังนั้นการเตรียมตัวและเตรียมพร้อมจึงเกิดขึ้นมาเพื่อขจัดความกลัวให้หายไปเพราะเมื่อเราพร้อม เรามั่นใจ ความกลัวยิ่งตัวเล็กมาก ถึงมากที่สุด ยิ่งเตรียมตัวดี มีแบบแผน มีขั้นตอนรองรับ ยิ่งเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับความกล้าเป็นทวีคูณ และเมื่อเราพร้อม..เราจึงก้าว ก้าวและก้าว ก้าวออกไปอย่างมั่นใจ ...แตกต่างจากความกล้าได้กล้าเสียอย่างสิ้นเชิง เพราะการกล้าได้กล้าเสียมักมาพร้อมกับอารมณ์เป็นตัวแปรหลัก ผลที่ออกมาจึงมีบ้างที่สำเร็จ ไม่สำเร็จ บางคนอาจสูญเสียหลายอย่าง ๆ อย่างไม่คาดคิด เมื่อถึงจุดนั้นก็จะมาตีโพยตีพายว่าไหนล่ะ ก็กล้าทำแล้วไงรู้งี้ตอนนั้นไม่ทำอย่างนี้เด็ดขาด ...กลายเป็นอย่างนั้นไปอีก

ไม่มีมนุษย์ปกติคนใดที่เดินแก้ผ้าล้อนจ้อนกลางถนน ทางเดินเท้า ยกเว้นสติสัมปชัญญะบกพร่อง ตั้งแต่ บ้า เมายา เมาสารพัด..เอาเป็นว่ามันไม่มีสติอยู่กะตัวก็แล้วกันค่ะ ...ถ้าอยู่คนเดียวในโลกมันก็ไม่แปลก หรือล่อนจ้อนในกลุ่มเดียวกันก็ไม่แปลก แต่ที่แปลกคือเดินตามถนนสาธารณะหรือบนถนนที่รถวิ่งกันควักไขว่เนี่ยแหล่ะ...เช่นเดียวกันค่ะความกล้าและความกลัวก็คือสิ่งเดียวกัน ที่เราจะต้องมั่นปรับปรุงให้เกิดสมดุลย์ในชีวิตและทุกการกระทำเพื่อสร้างความสุขในการตัดสินใจและเสพผลของมันอย่างภาคภูมิ...จึงเป็นความกล้าที่สวยงามและเรียกว่า .ชัยชนะของชีวิต”

วันอังคารที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2558

Life ...Happy or Problem?

                                     


ถ้าเรานำปัญหา ที่ตนเองทำผิดพลาด หรือ สิ่งที่ทำให้ผิดหวัง มาเป็นบทเรียน และปรับปรุงพัฒนา เราจะไม่ล้มซ้ำแบบเดิมได้อีก....มันควรที่จะเป็นอย่างนั้นใช่หรือไม่ แต่ถ้าหากวันนึงเราล้มซ้ำแล้วซ้ำอีก ล้มแล้วลุกและเมื่อลุกก็ยังล้ม..ชีวิตจะเป็นอย่างไรต่อไป บางครั้งทุกสิ่งที่คน ๆนึงได้ตัดสินใจทำลงไปอย่างดีที่สุดแล้วก็ยังไม่ดีพอ ถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราควรจะกลับมามองดูตนเองว่าวิธีการที่เราเลือกทำอยู่นั้น..มันคือวิธีการที่ใช่หรือเปล่า?

คนทุกคนล้วนอยากประสบความสำเร็จ มีคำคมมากมายจากผู้ที่ประสบความสำเร็จในแต่ละด้านมักบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า หากอยากเป็นคนที่สำเร็จในสิ่งใดก็จงอยู่ใกล้ๆ คนที่สำเร็จและทำในสิ่งที่เค้าทำ มนุษย์เรามักจะเป็นในสิ่งที่ตนเองคิดและสิ่งที่แวดล้อม อยู่ หากคนที่แวดล้อมเราอยู่ไม่มีใครสักคนที่เป็นคนรวย ตัวเราก็อาจจะรวยได้ยาก

ตัวฉันเองเคยคิดมาตลอดว่าจะมีใครสักคนมั๊ย?? ที่ตั้งแต่เกิดมาทำอะไรก็ล้มเหลวทุกครั้ง ทำธุรกิจอะไรก็เจ๊ง ชีวิตรักล้มครืนไม่มีความสุข ตั้งแต่เกิดมาความรันทดต่อชีวิตวนเวียนไปมาซ้ำอยู่แต่ที่เดิม ๆ ….คุณคิดว่ามีคนเหล่านั้นมั๊ย??? และถ้าหากคุณเห็นคนเหล่านั้นคุณจะช่วยเหลือเค้าได้อย่างไร??


มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความต้องการไม่เคยสิ้นสุด เมื่อถึงเป้าหมายนึงก็ต้องการมีเป้าหมายต่อไป ได้มากขึ้น ต้องการมากขึ้น พยายามมากขึ้น สุดท้ายสิ่งที่ได้มาบางคนอาจเรียกว่า ความภาคภูมิใจ ความสำเร็จ หรือเรียกมันว่า ความทุกข์และการถูกใช้ชีวิต ….งานเป็นกิจกรรมอย่างนึงที่กินเวลาของคนเราเกือบค่อนชีวิต และมนุษญ์เงินเดือนหลายคนที่ขายแรงงานและเวลาให้กับเงินน้อยนิด....ที่เรียกว่าเงินน้อยนิดเพราะไม่ว่าจะทำงานมากมายแค่ไหน ได้เงินมามากเท่าไหร่ก็ไม่เคยพอใช้มีแต่เดือนชนเดือน

ทุกสิ่งที่เราหายใจอยู่ล้วนมีปัญหา หากเรามองเห็นว่ามันคือ ปัญหา คนเราทุกคนไม่มีใครที่ประสบความสำเร็จมาตลอดทุกเรื่อง และไม่มีใครล้มอยู่อย่างนั้นตลอดชาติ เมื่อพระเจ้าหรือโลก(ตามแต่จะเรียก) สร้างเรามาให้เราเป็นอย่างนั้น โลกไม่ได้สร้างให้เราเป็นผู้ชนะและสมหวังตลอดเวลาในทุกสิ่งที่ทำ ที่รับรู้ ความผิดหวังมักเดินเคียงคู่กับเรามาตลอดชีวิตดั่งเหรียญอีกด้านนึงตลอดมาเหมือนที่เคยเห็น เราอาจต้องยอมเรียนรู้เหมือนกับการเป็นเด็กนักเรียนที่ต้องเติบโตอยู่อย่างนั้น ใช่หรือไม่?

ทุกสิ่งไม่มีผิดหรือถูก สำหรับทุกมุมมอง ทุกการคิดและทุกการตัดสินใจ...จงยืนเมื่ออยากยืน จงเดินเมื่ออยากเดิน จองมองเมื่ออยากมอง และวิเคราะห์เรียนรู้ทุกอย่างของชีวิตดั่งเหมือนเป็นสิ่งใหม่...ทำจิตใจให้พร้อมเรียนรู้เหมือนเด็กน้อยเพราะในทุกสถาณการณ์ของชีวิต น้ำเต็มแก้ว เราก็ต้องเปลี่ยนแก้วใหม่ ภาชนะใหม่อยู่เสมอ...ทุกย่างต้องมีการจัดระเบียบบ้างเพื่อให้สวยงามและผลของการจัดระเบียบย่อมเจ็บปวดเพราะเราไม่คุ้นเคย...ฝึกสักเล็กน้อย..คุณจะได้ในสิ่งที่ล้ำค้าอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ในชีวิต

วันจันทร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2558

เกาะขาม..ธรรมชาติที่ยังบริสุทธิ์

การที่เกาะขาม มีประกาศ"ปิดเกาะ" เมื่อวันที่ 18 ..58 เป็นต้นมา เพื่อที่จะฟื้นฟูทรัพยากรและ สภาพสิ่งแวดล้อม ให้กลับมา สมบูรณ์และ สภาพภูมิอากาศ ก็เริ่มเข้าสู่ฤดูมรสุม ทำให้มีความเสี่ยงในการท่องเที่ยว …ตอนนี้เปิดเกาะให้เที่ยวแล้วล่ะค่ะ..มาเที่ยวด้วยกันมั๊ยคะ
                                     

เมื่อวันหยุดที่ผ่านมามีโอกาสได้ไปเที่ยวเกาะขาม เกาะเล็กไม่ห่างจากกรุงเทพฯ เพราะอยู่แค่ชลบุรีเท่านั้นเอง ค่ะ ห่างจากชายฝั่งสัตหีบเพียงแค่ 9 กม.นั่งเรือไปใช้เวลาแค่ 20 นาที เท่านั้นเอง..ที่นี่ทะเลสวย น้ำใส แม้ทรายจะไม่ขาวนวลละเอียดแต่ก็ถือว่าสวยงามใช้ได้ค่ะ
                                      

เกาะขามอยู่ภายใต้การดูแลของกองทัพเรือ ที่เกาะนี้มีชายหาดขนาดใหญ่ที่เล่นน้ำได้อยู่ทางด้านเหนือค่ะบริเวณนี้เล่นกิจกรรมทางน้ำได้ ไม่ว่าจะว่ายน้ำ หรือกีฬาอย่างอื่น ส่วนทางใต้ของเกาะบริเวณนี้จะเป็นทรายกรวดหยาบ ๆ ไม่เหมาะกับการเล่นน้ำแต่เหมาะสำหรับการดำน้ำดูปะการัง บริเวณนี้จะมีแนวปะการังยังสมบูรณ์ ดำน้ำลงไปสวยงามมากแต่ไม่ถึงขนาดว่ายน้ำเคียงคู่ปลาได้เหมือนสิมิรันนะคะ
                                

ที่นี่จะไม่ผิดหวังอย่างแน่นอนสำหรับคนที่มาเที่ยวแนวอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมค่ะเพราะที่เกาะแห่งนี้ไม่อนุญาติการค้างคืนและจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวต่อวันแค่วันละ 300 คนเท่านั้นซึ่งจะต้องไปเช้าเย็นกลับตามรอบของเรือที่วิ่งโดยสาร ซึ่งตารางการเดินเรือก็ดังเวลาตามนี้ค่ะ

เที่ยวไปเกาะ                    เที่ยวกลับฝั่ง
เที่ยวที่ 1 เวลา 09.00 . เที่ยวที่ 1 เวลา 13.00 .เที่ยวที่ 2 เวลา 10.00 . เที่ยวที่ 2 เวลา14.00 .เที่ยวที่ 3 เวลา 11.00 . เที่ยวที่ 3 เวลา 15.00 .

ค่าเรือไปกลับคนละ 200 บาท รวมค่าเรือท้องกระจกมีสิ่งอำนวยความสะดวก ได้แก่ห้องสุขา ห้องอาบน้ำจืด เก้าอี้ผ้าใบ หากต้องการเช่าอุปกรณ์ดำน้ำ คิดเพิ่ม คนละ 50 บาท บนเกาะขามจะมีร้าขายอาหารเล็กๆน้อยเช่น บะหมี่กึ่งสำเร็รูป ลูกชิ้น ขนมปัง ถ้าต้องการมากกว่านั้นก็นำติดตัวไปค่ะและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมบนเกาะด้วยการไม่ทิ้งขยะเกลื่อนกลาดนะคะ นำกลับไปด้วยค่ะ..ช่วยกันคนไม้คนละมือเพื่อท้องทะเลที่สวยงามให้คงอยู่ไปอีกนาน